สำหรับการเช่ารถกับบริษัทใหญ่ๆ (Budget, Avis, Hertz, Sixt, Thai rent a car) ที่มีการรูดบัตรเครดิตกักวงเงินตอนเช่ารถ หากเราทำผิดกฏจราจร เช่น
- ขับเร็วเกินกำหนด แล้วโดนกล้องจับความเร็วจับได้
- ฝ่าไฟแดง แล้วถูกกล้องถ่ายรูปไว้ได้
- จอดรถในที่ห้ามจอด โดนเเปะใบสั่งที่หน้ากระจกแล้วเบี้ยวไม่จ่ายค่าปรับ
ตำรวจจะส่งใบสั่งทางไปรษณีย์ไปที่บริษัทผู้ให้บริการเช่ารถครับ แต่กว่าใบสั่งจะถึงผู้บริการ เราที่เป็นผู้เช่ารถได้คืนรถเป็นเวลาหลายวันหรือเป็นสัปดาห์แล้ว แต่นั่นก็ยังไม่ทำให้เรารอดนะครับ -_-"
ผู้ให้บริการรถเช่าจะทำการชาร์จเงินค่าปรับผ่านบัตรเครดิตของเราโดยตรง โดยที่ทางเรา"ไม่ต้องเซ็นต์ชื่อในสลิป" เพราะในสัญญาเช่าที่เซ็นตอนรับรถ มีข้อความว่าสามารถให้ชาร์จได้อยู่หากมีค่าปรับเกิดขึ้น ซึ่งก่อนชาร์จเงินผู้ให้บริการจะส่งจดหมายและหลักฐานจากตำรวจมาให้เราด้วย เพื่อแจ้งว่ามีค่าปรับเกิดขึ้นครับ
ค่าปรับที่เกิดขึ้นจะบวกค่าดำเนินการของบริษัทด้วย เช่น ค่าปรับความเร็วเกินกำหนด 400 บาท จะมีค่าบริการเพิ่มประมาณ 100-200 บาท เป็นค่าธนาณัติ 84 บาท + ค่าซองสำหรับส่งไปและกลับ 6 บาท + ค่ารอยประทับไปรษณีย์ 5 บาท + ค่าพนักงาน/ค่าน้ำมันไปจ่ายค่าปรับ + ค่าภาษีมูลค่าเพิ่มเมื่อออกใบเสร็จ
ทางที่ดีขับรถอย่าเร็วเกินกำหนดจะดีกว่าครับ โดยความเร็วสูงสุดของถนนหลวงคือ 90 กม/ชม ครับ (ไม่ใช่ 120 กม/ชม ตามที่ส่วนใหญ่เข้าใจกัน) มีเฉพาะทางด่วน และทางพิเศษอย่างมอเตอร์เวย์เท่านั้นที่ให้ถึง 120 กม/ชม
ความรู้เพิ่มเติม :
? ทำไมชาร์จเงินที่บัตรเครดิตของเราโดยไม่ต้องเซ็นต์ชื่อได้
> บริษัทรถเช่า โรงแรม หรือเวปท่องเที่ยวใหญ่ๆ จะมีเครื่องตัดเงินที่เรียกว่า EDC ที่ใช้ตัดเงินลูกค้าย้อนหลังได้กรณีตรวจพบความเสียหายทีหลัง โดยแค่ใส่หมายเลขบัตรเข้าไปในเครื่องและไม่จำเป็นต้องใช้รหัส 3 ตัวหลังการ์ดด้วย แต่เครื่องประเภทนี้จะไม่มีทุกกิจการ จะมีแต่กิจการที่ธนาคารประเมินแล้วว่ากิจการมีความน่าเชื่อถือ
> การที่บริษัทสามารถเรียกเก็บเงินได้ย้อนหลังกรณีมีค่าปรับจากบัตรเครติต เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ต้องใช้บัตรเครดิตในการจองรถเช่าครับ
l carrentcheap l
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น